++แนะนำตัวค่ะ++

ชื่อนางสาววรรณิษา ไชยสีหา ชื่อเล่น ก๋อย

รหัสนิสิต 51011811322 (3AS)

คณะสัตวเพทยศาสตร์และสัตวศาสตร์

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม




E-mail wannisag @hotmal.com

วิชา อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

( Internet and communication in daily life )

กลุ่มเรียนที่ 14

การวิเคราะห์อาหารสัตว์

 

                             การวิเคราะห์ไขมัน (Crude Fat)


 
 ไขมัน เป็นสารประกอบพวกอินทรีย์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของพืชอาหารสัตว์ สามารถละลายได้ใน ether ,benzene ,acetone และ chlorofome แต่ไม่สามารถละลายได้ในน้ำ ไขมันประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ,โฮโดรเจน และออกซิเจน เช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรต และบางตรั้งยังมีธาตุอื่นๆเป็นองค์ประกอบ อยู่ด้วยเช่นไนโตรเจน และฟอสฟอรัส ส่วนคาร์โบไฮเดรตไม่มีธาตุอื่นเลย สารประกอบประเภทไขมัน เมื่ออยู่ในสภาพของเหลว ที่อุณหภูมิปกติเรียกว่า น้ำมัน (Oil) ได้แก่
น้ำมันรำ น้ำมันมะพร้าว ถ้าอยู่ในสภาพครึ่งเหลวที่อุณหภูมิปกติเรียกว่า ไขมัน(Fat) ได้แก่ไขมันจากสัตว์แต่ถ้าเป็นของแข็งที่อุณหภูมิปกติเรียกว่าไข(Wax)เช่นไขผึ้ง
      การวิเคราะห์หาไขมันในอาหารสัตว์ทำได้โดยใช้ตัวทำละลายที่เป็นสารอินทรีย์เป็นตัวสกัด ซึ่งคุณสมบัติที่สำคัญของตัวทำละลาย ที่ใช้คือ ต้องระเหยง่ายและไวไฟ ตัวทำละลายที่นิยมใช้กันมากมี 4 ชนิดคือ
     diethyl ether
     petroleum ether
     dichloromethane
     chloroform
        สารที่ถูกสกัดได้แบ่งเป็น 2 พวกคือ
      สารพวกไขมัน คือกลีเซอไรด์ของกรดไขมัน ,กรดไขมันอิสระ,สเตอรอล,เลคซิติน และไขมันที่ระเหยได้
สารพวกที่ไม่ใช่ไขมัน แต่ตัวทำละลายสามารถสกัดออกมาได้ด้วยคือ เม็ดสีต่างๆ เรซิน สารประกอบพวกอัลคาไล และพวกวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ A D E และ K เนื่องจากสารที่ไม่ใช่ไขมันนี้มีปริมาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับสารพวกไขมัน ดังนั้น สารพวกที่ไม่ใช่ไขมัน จึงไม่มีผลต่อการวิเคราะห์หาปริมาณไขมัน
จากการที่สารที่ถูกสกัดมีทั้งพวกที่เป็นไขมันและไม่ใช่ไขมัน จึงเรียกสารทั้งสองพวกนี้ว่า Crudefat


              วิธีการ
      1. ชั่งตัวอย่าง 2 กรัม (W1)ใส่ใน thimble ที่มีกระดาษกรองเบอร์ 1 หรือ เบอร์ 41 หุ้มภายใน ใช้สำลีวางบนตัวอย่าง นำไปอบในตู้อบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียล 3 ชม.ทิ้งให้เย็นในโถอบแห้ง
     2. อบถ้วยที่ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียล1 ชม.ทิ้งให้เย็นในโถอบแห้ง ชั่งน้ำหนักถ้วย (W2)
     3.  ตวง petroleum ether 50 ml. ใส่ลงในถ้วยในครั้งแรกวิเคราะห์ชุดต่อไปใช้ 30 ml.
     4.  นำ thimbleที่บรรจุตัวอย่าง ซึ่งผ่านการอบสอดเข้า condenser ในส่วนของ Extraction Unit ของเครื่อง Soxtec system HT
    5. สอด ถ้วยที่บรรจุ petroleum ether เข้าเครื่องดึงตัวอย่างลงในถ้วยใช้เวลาสกัดตัวอย่าง 20 นาที
   6. ดึงตัวอย่างขึ้นจากตัวทำละลาย ใช้เวลา 55 นาทีเพื่อให้ petroleum ether ที่ควบแน่นมาจาก condenser ไหลลงมาล้างตัวอย่าง
   7. นำถ้วยที่มีไขมัน ไปอบที่ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียล 30 นาที.ทิ้งให้เย็นในโถอบแห้ง ชั่งน้ำหนักถ้วย (W3)
   8.ตัวอย่างที่ผ่านการวิเคราะห์ไขมันห่อใส่กระดาษเก็บไว้เพื่อวิเคราะห์ crude fiber ต่อไป


              การวิเคราะห์โปรตีน (Crude Protein)

      โปรตีนเป็นโภชนะหมู่หนึ่งมีความสำคัญมากในการเลี้ยงสัตว์ การทำงานของสัตว์ การเจริญเติบโต และการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆของสัตว์ และพืชล้วนต้องอาศัยโปรตีนทั้งสิ้น โปรตีนเป็นสารประกอบที่ซับซ้อนประกอบด้วยธาตุคาร์บอนไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบเพิ่มขึ้นอีก เช่น ซัลเฟอร์ ฟอสฟอรัส และเหล็ก แต่ละโมเลกุลของโปรตีน ประกอบด้วยสารประกอบไนโตรเจน ที่เรียกว่า กรดอะมิโน จำนวนมากมายหลายชนิด
      การวิเคราะห์หาโปรตีนทางเคมีค้นพบโดย Dane Johan Kjeldahl เป็นชาวเดนมาร์ก ได้ทำการวิเคราะห์โปรตีน โดยวิธี
ที่เรียกว่า Kjeldahl Method ซึ่งการวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้ ค่าไนโตรเจนที่ได้เป็นไนโตรเจนจากโปรตีน และสารประกอบไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีน (ยกเว้นไนเตรต) เมื่อนำมาคำนวณค่าที่ได้จึงเป็นค่าโปรตีนหยาบ
          การวิเคราะห์หาโปรตีนด้วยวิธี Kjeldahl ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลักคือ
      • การย่อยตัวอย่าง(Digestion) เป็นการย่อยตัวอย่างด้วยกรดซัลฟูริกเข้มข้น โดยมีสารเร่งปฏิกิริยา ภายใต้สภาวะอุณหภูมิสูงไนโตรเจนในตัวอย่างจะเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียมซัลเฟต

  • การกลั่นแอมโมเนีย(Distillation) เมื่อนำโซเดียมไฮดรอกไซด์ มาทำปฏิกิริยากับเกลือแอมโมเนียมซัลเฟตที่ได้จากการย่อยตัวอย่างแล้ว จะได้ก๊าซแอมโมเนีย ซึ่งจับก๊าซนี้ได้ด้วยสารละลายบอริค
          การวิเคราะห์เยื่อใย (Crude Fiber)


     เยื่อใยเป็นสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่พบมากในพืชประกอบด้วยเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน เป็นส่วนใหญ่ สัตว์โดยทั่วไปใช้ คาร์โบไฮเดรตชนิดนี้ไม่ได้เลย เพราะไม่มีน้ำย่อยในระบบย่อยอาหารของสัตว์ชนิดใดสามารถย่อยได้ นอกจากสัตว์เคี้ยวเอื้อง และสัตว์พวกกระต่ายและม้าเท่านั้น โดยที่ในกระพาะรวมของสัตว์เคี้ยวเอื้อง และไส้ติ่งของสัตว์พวกกระต่าย และม้า มีจุลินทรย์ ที่สามารถย่อย คาร์โบไฮเดรตชนิดนี้ได้
คาร์โบไฮเดรตเป็นโภชนะสำคัญที่ให้พลังงานและความร้อนแก่ร่างกายสัตว์ เป็นสารอินทรีย์ที่มีสูตรโครงสร้าง ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยที่อัตราส่วนระหว่างธาตุไฮโดรเจนกับออกซิเจนเป็น 2:1 เท่ากับในโมเลกุลของน้ำ คาร์โบไฮเดรตแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
     • เยื่อใย (Crude fiber หรือ Structural carbohydrate )ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างส่วนต่างๆของพืช ทำให้พืชคงรูปร่างอยู่ได้ เยื่อใยประกอบด้วยเซลลูโลสประมาณ 95% ของเยื่อใยทั้งหมด และมีลิกนิน และเฮมิเซลลูโลส ประกอบอยู่บ้างเล็กน้อย


     • Nitrogen Free Extract (NFE หรือ Non Structural carbohydrate ) เป็น คาร์โบไฮเดรตส่วนที่สัตว์ทุกชนิดย่อยได้ง่าย และนำไปใช้ประโยชน์ได้ ประกอบด้วยแป้ง และน้ำตาล
ปริมาณเยื่อใยในอาหารสัตว์ใช้วัดคุณค่าทางอาหารของสัตว์แต่ละประเภท เพราะสัตว์บางพวกเช่น สัตว์ปีกใช้ประโยชน์จากเยื่อใยได้น้อยมากดังนั้นอาหารที่มีเยื่อใยสูง จัดเป็นอาหารที่มีคุณภาพต่ำสำหรับสัตว์ปีก ในขณะที่สัตว์เคี้ยวเอื้อง
       อาหารที่มีเยื่อใยต่ำได้แก่ อาหารข้น จัดว่ามีคุณภาพสูงเพราะสัตว์ทุกชนิดย่อยได้ง่าย แต่อาหารที่มีปริมาณเยื่อใยสูงได้แก่ อาหารหยาบ    เช่นพืชอาหารสัตว์ จัดเป็นอาหารที่มีคุณภาพต่ำ เพราะสัตว์ย่อยได้ยาก ถึงแม้นเยื่อใยจะเป็นส่วนของอาหาร ที่สัตว์ย่อยได้ไม่มาก แต่สัตว์จำเป็นต้องได้รับอาหารพวกนี้บ้างเพื่อให้ระบบการย่อยอาหารเป็นไปตามปกติ และระบบขับถ่ายของเสียต่างๆที่ตกค้างในร่างกาย

ระบบประสาท

   
      เซลล์ประสาท(neuron,nervecell)
                 ร่างกายคนมีเซลล์ประสาท (nerve cell) หรือนิวรอน (neuron) จำนวนมากทำหน้าที่เกี่ยว
กับการรับรู้และการตอบสนองแต่ละเซลล์อาจมีการเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับเซลล์ประสาทอื่นเป็นพันๆ
เซลล์ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่เซลล์จำนวนมากสามารถทำงานเกี่ยวกับการรับส่งสัญญาณระหว่าง
สิ่งเร้าภายนอกและภายในร่างกายได้อย่างมีระบบ
เซลล์ประสาทประกอบด้วยส่วนที่สำคัญสองส่วนคือ
    ตัวเซลล์(cellbody)และใยประสาท(nervefiber)
ตัวเซลล์เป็นส่วนของไซโทพลาซึมและนิวเคลียสตัวเซลล์มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
4 - 25 ไมโครเมตรภายในมีออร์แกเนลล์ที่สำคัญ คือ ไมโทคอนเดรีย เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
และกอลจิคอมเพล็กซ์จำนวนมาก
ใยประสาทที่นำกระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์เรียกว่าเดนไดรต์(dendrite)ใยประสาทนำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์เรียกว่าแอกซอน(axon)เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะมีเดนไดรต์แยกจากตัวเซลล์หนึ่งใยหรือหลายใย ส่วนแอกซอนมีเพียงใยเดียวเท่านั้น
       กรณีใยประสาทยาวซึ่งมักเป็นใยประสาทของแอกซอนจะมีเยื่อไมอีลิน(myelinsheath) มาหุ้มใยประสาท
         เยื่อไมอีลินมีสารจำพวกลิพิดเป็นองค์ประกอบเมื่อตรวจดูภาพตัดขวางของเยื่อไมอีลินด้วย
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนพบว่าเยื่อไมอีลินติดต่อกับเซลล์ชวันน์  (schwanncell)  ซึ่งเป็นเซลล์ค้ำจุนชนิดหนึ่งแสดงว่าเยื่อไมอีลินเป็นส่วนหนึ่งของเยื่อหุ้มของเซลล์ชวันน์   ส่วนของแอกซอนตรงบริเวณร่อยต่อระหว่างเซลล์ชวันน์แต่ละเซลล์เป็นบริเวณที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้มเรียกว่า โนดออฟแรนเวียร์  (node of Ranvier)

เซลล์ประสาทจำแนกตามหน้าที่ได้ 3 ชนิด ได้แก่

     เซลล์ประสาทรับความรู้สึก (sensory neuron)
คือ เซลล์ประสาทที่รับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึก แล้วถ่ายทอดกระแสประสาท
ไปยังเซลล์ประสาทสั่งการ อาจผ่านเซลล์ประสาทประสานงานหรือไม่ผ่านก็ได้ เซลล์เหล่านี้มีตัวเซลล์อยู่ที่ปมประสาทรากบนของไขสันหลัง
         เซลล์ประสาทสั่งการ(motor neuron)
มักมีใยประสาทแอกซอนยาวกว่าเดนไดรต์ อาจยาวถึง 1 เมตร เพราะเซลล์ประสาทสั่งการ
ที่อยู่ในไขสันหลังต้องส่งกระแสประสาทออกจากไขสันหลัง เพื่อนำกระแสประสาทไปยัง
หน่วยปฏิบัติงาน เช่น กล้ามเนื้อแขนขา ซึ่งอยู่ห่างไกลจากไขสันหลังมาก
เซลล์ประสาทประสานงาน(association neuron )
เซลล์ประสาทชนิดนี้อยู่ภายในสมองและไขสันหลัง จะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทรับความรู้สึก กับเซลล์ประสาทสั่งการใยประสาทของเซลล์ประสาทประสานงานอาจมีความยาวเพียง4 - 5 ไมโครเมตรเท่านั้น
การถ่ายทอดกระแสประสาท                     
       ทำให้เซลล์ประสาทที่ถูกกระตุ้นมีกระแสประสาทเกิดขึ้นและถูกถ่ายทอดต่อจนไปถึงปลายทางเมื่อสารสื่อประสาทถูกปล่อยออกมาจากถุงบรรจุสารสื่อประสาทที่เยื่อหุ้มปลายประสาทแอกซอนเข้าสู่ช่องไซแนปส์สารสื่อประสาทจะไปจับกับโปรตีนตัวรับที่เยื่อหุ้มเชลล์ประสาทหลังไซแนปส์ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของไอออนผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความต่างศักย์ที่เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทของไซแนปส์และทำให้เกิดการส่งกระแสประสาทต่อไป
     (norepinephrine) เอนดอร์ฟิน (endorphine)